วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

ฟันน้ำนมนั้นสำคัญไฉน?

ท่านที่มีบุตรหลานหรือน้องเล็กๆ ที่น่ารัก อาจจะเคยสังเกตเห็นว่าเด็กๆ มีฟันน้ำนมซี่น้อยๆ ซึ่งเริ่มงอกขึ้นมาซี่แรกตั้งแต่อายุ 6 เดือนในฟันหน้าล่าง และค่อยๆ งอกเพิ่มขึ้นจนครบ 20 ซี่เมื่ออายุประมาณ 2 ขวบเป็นต้นไป ฟันน้ำนมซี่น้อยๆ ที่น่าดูเหล่านี้จะถูกทดแทนด้วยฟันถาวรต่อไปเมื่อเด็กโตขึ้น โดยเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ ฟันน้ำนมซี่หน้าล่างและบนจะเริ่มโยกและหลุดไป ทำให้เด็กบางคนมีลักษณะฟันหลอด้านหน้า และต่อมาไม่นานนักก็จะมีฟันถาวรซี่โตงอกขึ้นมาแทนที่ และมักจะ.งเล็กน้อยในขณะที่ขากรรไกรและใบหน้ากำลังเจริญเติบโต จนเมื่ออายุประมาณ 10-12 ขวบ ฟันถาวรจะขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนมทั้งหมดและแถมมีฟันกรามถาวรเพิ่มขึ้นอีก 4-8 ซี่

การที่ฟันน้ำนมหลุดออกไปและมีฟันถาวรมาแทนที่เมื่อเด็กโตขี้น มีผลให้หลายๆ ท่านไม่เห็นความสำคัญของฟันน้ำนมเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ฟันน้ำนมจะทำหน้าที่อยู่ในช่องปากได้นานประมาณ 6-10 ปี และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ร่างกายของเด็กกำลังเจริญเติบโต ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีฟันน้ำนมที่แข็งแรง เพื่อทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารในการไปเสริมสร้างการเจริญของร่างกาย และเป็นที่น่าเสียดายที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองหลายท่านละเลยต่อการดูแลฟันน้ำนม รวมไปถึงการแปรงฟันทำความสะอาดฟันน้ำนมของเด็ก เป็นผลให้เด็กจำนวนมากเป็นโรคฟันผุ หัก แหว่ง ปวดฟัน และไม่สามารถใช้ฟันเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ

จากผลการสำรวจสุขภาพช่องปากของเด็กไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2544 พบว่า โดยทั่วไปเด็กอายุ 3 ขวบ จำนวน 7 ใน 10 คน จะมีฟันน้ำนมผุ โดยมีค่าเฉลี่ยฟันผุคนละประมาณ 3 ซี่ และเมื่อเด็กโตขึ้นจนอายุ 6 ขวบ ฟันน้ำนมก็จะผุมากขึ้น โดยเด็ก 9 ใน 10 คนมีฟันผุประมาณคนละ 6 ซี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กชนบท ที่มีอุบัติการณ์ของฟันผุสูงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และนับได้ว่ามีความรุนแรงของโรคฟันผุสูงมาก จนถือได้ว่าเป็นปัญหาทันตสาธารณสุขและปัญหาสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพของเด็กและการเจริญเติบโตต่อไปในอนาคตด้วย

ท่านที่เคยพาบุตรหลานไปทำฟันแล้ว คงสังเกตได้ว่าหมอฟันจะให้การรักษาเด็กที่กำลังปวดฟันได้ยากมาก เนื่องจากเด็กจะกลัวมาก เพราะฟันที่ปวดอยู่นั้นแตะต้องแทบไม่ได้เลย จึงกลัวหมอจะทำให้เจ็บมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการทำฟันที่มีประวัติการปวดเหล่านี้ ในหลายกรณีมักลงเอยด้วยการถอนฟัน ซึ่งเป็นประสพการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ของเด็กอย่างแน่นอน โดยทั่วไปหมอฟันเด็ก (ทันตแพทย์ที่ศึกษาต่อทางด้านทันตกรรมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ) จะสามารถจัดการเด็กที่ร้องไห้และไม่ให้ความร่วมมือในการทำฟันได้อย่างนุ่มนวล และมีวิธีการให้การดูแลรักษาฟันเด็กอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยไม่จำเป็นต้องถอนฟันเสมอไป เช่น การรักษารากฟันน้ำนมในเด็ก การอุดฟันที่ผุยังไม่มากนักด้วยวัสดุที่ปล่อยฟลูออไรด์ในการป้องกันโรคฟันผุ โดยไม่ต้องใช้เครื่องกรอฟันและฉีดยา การใช้เลเซอร์กำจัดรอยฟันผุ เป็นต้น แต่หมอฟันเด็กก็ยังมีจำนวนน้อยและส่วนมากทำงานอยู่ในเมืองใหญ่เท่านั้น

อย่างไรก็ดี หมอฟันทั่วไปก็สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมและให้การรักษาด้วยเทคโนโลยีใหม่ได้ถ้าได้ติดตามความรู้ใหม่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ แต่การรักษาเท่าใดก็ไม่สามารถไล่ทันโรคฟันผุที่รุนแรงมากขึ้นเช่นนี้ได้ การป้องกันโรคและการเสริมสร้างสุขภาพช่องปากในเด็กจึงมีความสำคัญยิ่ง ปัญหาหลักประการหนึ่งได้แก่การให้เด็กเล็กดูดดื่มนมหวานจากขวดนมหลังอายุเกินหนึ่งขวบขึ้นไปแล้ว ซึ่งในช่วงอายุดังกล่าวควรดูแลให้เด็กดื่มนมในถ้วย และที่สำคัญอย่าใช้นมหวานในเด็กเล็ก ซึ่งนอกจากน้ำตาลในนมหวานจะเป็นสาเหตุหลักของโรคฟันผุแล้ว ยังมีผลให้เด็กติดความหวานและอาจเป็นเหตุให้เด็กอ้วนจนเกินไปได้ด้วย การดื่มนมไม่หวานจะมีผลให้เด็กได้รับนมอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องได้รับน้ำตาลเพิ่มเติมในนมที่ไม่จำเป็น เพราะในนมบริสุทธิ์มีน้ำตาลนมที่เพียงพออยู่แล้ว

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการดูแลป้องกันโรคฟันผุในเด็ก ได้แก่การทำความสะอาดฟันและการแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอในเด็ก ตั้งแต่ฟันงอกขึ้นมาแล้ว ให้เป็นอุปนิสัยประจำเช่นเดียวกับการอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายของเด็ก โดยในเด็กเล็กอายุ 6 เดือนที่ฟันน้ำนมเพิ่งงอกขึ้นมาให้ใช้ผ้านุ่มสะอาดชุบน้ำเช็ดฟันทุกวัน และเมื่อเด็กโตขึ้นมาและมีฟันน้ำนมมากซี่ขึ้น การใช้แปรงสีฟันของเด็กที่มีขนแปรงนุ่มมากและด้ามแปรงขนาดกะทัดรัด โดยพ่อแม่หรือผู้ปกครองช่วยแปรงให้ในระยะเริ่มต้น และต่อไปคอยควบคุมดูแลให้แปรงฟันร่วมกับยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ในจำนวนน้อย (ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว) แปรงวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 2 นาทีอย่างทั่วถึงบนฟันทุกซี่ทุกด้านเป็นประจำทุกวัน ก็จะสามารถช่วยป้องกันโรคฟันผุได้ เห็นความสำคัญอย่างนี้แล้ว คงต้องมาช่วยกันให้ความสำคัญในการดูแลฟันน้ำนมของบุตรหลานของท่าน เพื่อช่วยลดปัญหาโรคฟันผุในเด็ก และช่วยไม่ให้เด็กต้องไปถอนฟันก่อนกำหนด ทำให้เด็กมีฟันน้ำนมแข็งแรง ขาวสะอาด ใช้งานในการบดเคี้ยวอาหารเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายได้อย่างเหมาะสมต่อไป

เขียนโดย : ประทีป พันธุมวนิช
จาก : วิชาการ.คอม

ชา ชา

ในอดีตราว 4,000 ปีก่อน ตำนานการดื่มชาได้ถือกำเนิดในโลกมนุษย์ ณ แดนอารยธรรมมังกร ดินแดนที่ถือเป็นแดนอารยธรรมตะวันออกที่เก่าแก่ที่สุดและยั่งยืนที่สุด ในปัจจุบันการดื่มชาจึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และยังกระจายตัวไปตามจุดต่าง ๆ ของโลก โดยการติดต่อค้าขายและการย้ายถิ่นฐานของชาวจีนโพ้นทะเลที่มีมาแต่โบราณกาลทำให้วัฒนธรรมการดื่มชาเป็นวัฒนธรรมที่เป็นที่รู้จักของประชากรโลกเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดศาสนาใด
จากบันทึกโบราณเท่าที่ปรากฏ พบว่าการกระจายพันธุ์ของชานั้นอยู่ในบริเวณตอนใต้ของประเทศจีนตั้งแต่ทางทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก ต่อเนื่องไปถึงตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ตอนเหนือของประเทศลาว ตอนเหนือของประเทศไทย และบริเวณรัฐชานหรือฉาน ทางตอนเหนือของประเทศพม่า ที่นักมานุษยวิทยาได้พบหลักฐานว่าเป็นชุมชนของกลุ่มชนที่เรียกตัวเองว่า “เสียม” หรือ “สยาม” ในอดีต ถ้าคิดรวมระยะทางจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกก็เป็นระยะทางกว่า 1,500 ไมล์ หรือราว 2,400 กิโลเมตร และปัจจุบันการเพราะปลูกชาได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก และมีปริมาณผลผลิตมากมาย อีกทั้งมีการนำชามาประยุกต์เข้ากับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกเหนือจากเครื่องดื่มอาทิ ไอศกรีม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง เป็นต้น จนเกิดกระแส “ชา” ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง บทความนี้ จะแสดงความนัยแห่งชา ที่นำมาสู่ กระแสชา อันรุนแรง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่เกิดตามกระแสความนิยมดังกล่าว
ชา...เครื่องดื่มอมตะ
คำว่า “ชา” ในที่นี้หมายถึงพืชที่มีชื่อพฤษษศาสตร์ว่า Camellia sinensis (L.) O. Kuntze ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ใบอ่อนและใบแก่ของพืชชนิดนี้เวลานำมาชงกับน้ำร้อนจะได้เครื่องดื่มที่ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า จากความนิยมดื่มชาและกรรมวิธีการชงชาที่กระจายตัวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทำให้ในเวลาต่อมาคำว่า “ชา” กินความหมายไปถึงการนำสิ่งใดก็ได้มาชงกับน้ำร้อนแล้วกลายเป็นเครื่องดื่มคล้ายชา โดยอาศัยการเติมชื่อสิ่งที่นำมาชงตามท้าย เช่น ชาใบหม่อน ชามะขามแขก เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากใบชา ที่นำมาทำเป็นเครื่องดื่ม สามารถจำแนกได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 3 กลุ่ม ตามกรรมวิธีการผลิตคือ
1. ใบชาที่ไม่ผ่านการหมัก (non-fermented tea) : กลุ่มนี้เป็นการเก็บใบชา ที่เป็นใบอ่อน 3 ใบแรกจากยอดชา แล้วนำมาผึ่งลม (withering) ในเวลาสั้น ๆ เพื่อลดความชื้นของใบชาลงเล็กน้อย และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในใบชา โดยอาศัยความร้อน โดยทำได้หลายวิธี ทั้งให้ความร้อนแบบแห้ง (firing) และความร้อนแบบชื้นจากไอน้ำ (steaming) เมื่อยับยั้งเอนไซม์ในใบชาแล้วสารเคมีในชาจะคงสภาพไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเคมีไปเป็นสารอื่นอีก จากนั้นจึงม้วนใบชา ต่อด้วยการอบให้แห้ง เพื่อบรรจุในบรรจุภัณฑ์จำหน่ายต่อไป กรรมวิธีการผลิตนี้จะทำให้ทั้งสี กลิ่นและรส จะยังคงสภาพคล้ายใบชาสดที่เก็บมาจากต้น ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ชาที่ได้จากกรรมวิธีนี้จึงได้ชื่อเรียกว่า ชาขาว (white tea) และชาเขียว (green tea) ภาษาจีนเรียกว่า ลวี่ฉา แปลว่า ชาเขียว
2. ใบชาที่ผ่านการหมักกึ่งหนึ่ง (semi-fermented tea) : กลุ่มนี้จะต่างจากกลุ่มชาเขียวตรงที่เลือกใช้ใบที่มีอายุมากกว่าและมีการทิ้งเวลาในการผึ่งลมนานราว 15 ชั่วโมง แล้วจึงยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ด้วยความร้อนคล้ายวิธีผลิตชาเขียว แล้วต่อด้วยการม้วนใบชา และอบให้แห้งก่อนจะบรรจุในบรรจุภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาด ชาที่ได้จากกรรมวิธีการผลิตแบบนี้มีชื่อเรียกหลายอย่าง แต่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก โดยเฉพาะนักดื่มชา และนำมาเป็นชื่อตัวแทนของผลิตภัณฑ์ใบชาที่ใช้ดื่มในกลุ่มนี้คือ ชาอูหลง ซึ่งแปลว่า ชามังกรดำ ในภาษาอังกฤษก็เรียกชากลุ่มนี้ตามเสียงภาษาจีนว่า Oolong tea ชากลุ่มนี้เป็นชาที่มีจำหน่ายในเมืองไทย และเป็นที่นิยมดื่มกันมากที่สุดเนื่องจากมีกลิ่นหอม รสชุ่มคอ และหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ได้นำเกสรดอกไม้หลายชนิดมาปรุงแต่งกลิ่นรสชาทำให้น่าอภิรมย์มากขึ้นด้วย
3. ใบชาที่ผ่านการหมักสมบูรณ์ (fermented tea) : กลุ่มนี้เป็นกลุ่มของใบชาที่นิยมมากในยุโรป อินเดีย ศรีลังกา ได้จากการนำใบชามาผึ่งลม (withering) ราว 18 ชั่วโมง และควบคุมความชื้นในลมที่ผึ่งให้อยู่ที่ร้อยละ 60 จากนั้นจะนำใบชาที่ผึ่งแล้วมาม้วนบี้ (rolling) ด้วยเครื่องม้วนบี้ เพื่อให้เนื้อของใบชามีพื้นที่ในการถูกออกซิไดซ์ด้วยอากาศมากขึ้น เมื่อม้วนเสร็จก็หมัก โดยทิ้งไว้ที่อุณหภูมิราว 30 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง จึงทำการอบแห้งที่ 90 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที สิ่งที่ได้จะเป็นผลิตภัณฑ์ใบชาที่มีสีดำ และมีกลิ่นที่เปลี่ยนไป รสชาติก็จะออกทางฝาดมากกว่าชาสองชนิดแรก ชาที่ได้จากกรรมวิธีนี้เรียกว่า หงฉา แปลว่าชาแดง เนื่องจากสีของชาที่ได้มีสีดำปนแดง การผลิตชาชนิดนี้ที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศศรีลังกา ชาชนิดนี้ถูกนำมาแปรรูปเป็นชาซองชงหลายชื่อการค้า รวมถึงผงชาที่ใช้ชงเป็นชาดำ ชานม และชานมไข่มุก เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ทั้งสามชนิดหลักนี้ ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องดื่มของชนชาติต่าง ๆ ตามแต่รสนิยมและความคุ้นเคยของลิ้น คนเอเชียมักนิยมดื่ม ชาเขียว และชาอูหลง มากกว่าคนยุโรป และอีกหลายประเทศในซีกโลกตะวันตกซึ่งได้รับอิทธิพลการดื่มชาจากประเทศอินเดียอันเป็นเจ้าของตำรับ “ชาดำใส่นม” ในสมัยที่มีการล่าอาณานิคม อังกฤษได้เข้ามายึดประเทศอินเดียเป็นอาณานิคม

สารเคมีที่อยู่ในชาเป็นสิ่งที่ทำให้กลิ่นและรสของใบชามีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังส่งผลให้ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีต่อร่างกายแตกต่างกันไปด้วย ตามธรรมชาติเมื่อใบชายังอยู่บนต้น สาระสำคัญที่มีในใบชาเป็นสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoid) โดยสารตัวที่มีบทบาทสำคัญด้านฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของใบชากลุ่มนี้คือ คาเทชิน (catechin) นอกจากสารกลุ่มฟลาโวนอยด์แล้วยังมีสารกลุ่มแซนทีน อัลคาลอยด์ (xanthine alkaloid) ได้แก่ คาเฟอีน (caffeine) ธีโอฟิลลีน (theophylline) เป็นต้น ซึ่งสารกลุ่มแซนทีน อัลคาลอยด์นี้ จะเป็นสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าในกระบวนการผลิตชาเขียว มีการยับยั้งเอนไซม์ที่จะเปลี่ยนแปลงสารต่าง ๆ ในใบชา ทำให้ชาเขียวมีปริมาณสารคาเทชิน ในปริมาณสูง ในขณะที่มีสารพวกธีอาฟลาวิน (theaflavin) และ ธีอารูบีจิน (thearubigin) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการเปลี่ยนรูปของคาเทชินโดยเอนไซม์ต่าง ๆ ในปริมาณที่ต่ำ และสำหรับชาดำนั้น เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับชาเขียว ดังนั้นฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของชาทั้งสองชนิดจึงต่างกันอย่างมากเภสัชวิทยาของชา

จากการศึกษาวิจัยชาที่มีมานานทำให้ทราบว่า สารเคมีที่อยู่ในใบชามีมากกว่า 500 ชนิด โดยสารกลุ่มที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายมนุษย์ และมีผลต่อเรื่องสุขภาพของมนุษย์นั้นได้แก่สารในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ กรดอะมิโน วิตามิน คาเฟอีน และน้ำตาลหลายโมเลกุล (polysaccharide)

ในใบชายังประกอบไปด้วยธาตุอาหารในกลุ่มที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่ต่ำหลายชนิดได้แก่ ฟลูออรีน ทองแดง แมงกานีส นิเกิล อัลลัม โปแตสเซียม สังกะสี ซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม โซเดียม เป็นอาทิ รายละเอียดของธาตุอาหารในชาได้แสดงไว้ในตาราง อีกทั้งยังมีการพบว่าในใบชามีปริมาณวิตามินซีมาก โดยพบว่าในชาเขียว 100 กรัม จะมีวิตามินซีมากถึง 100 มิลลิกรัม ในขณะที่ชาดำจะมีปริมาณวิตามินซีที่น้อยกว่าชาเขียว โดยพบว่า ร้อยละ 90 ของวิตามินซีจะสลายตัวระหว่างกระบวนการหมักชาดำ นอกจากวิตามินซีแล้ว ในชายังพบวิตามินบีอีกหลายชนิด ซึ่งปริมาณวิตามินบีในชาเขียวและชาดำไม่แตกต่างกัน และยังมีรายงานการพบวิตามินอี 24-80 มิลลิกรัม ในชา 100 กรัม และพบวิตามินเค 300-500 ไมโครกรัม ในชา 1 กรัม

ชา ยังเป็นพืชที่มีปริมาณฟลูออรีนมาก (fluorine bioconcentrating plant) โดยปริมาณฟลูออรีนในชาใบแก่มีมากถึงหลายร้อยส่วนในล้าน (part per million : ppm) ด้วยเหตุนี้ได้มีการนำชามาศึกษาอิทธิพลต่อการเกิดฟันผุ พบว่าการดื่มชาทำให้อัตราฟันผุลดลง

นักวิทยาศาสตร์ได้พบกรดอะมิโนในชาราว 25 ชนิด โดยธีอานีน (theanine) เป็นกรดอะมิโนที่พบมากที่สด คือกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณกรดอะมิโนรวมทั้งหมด และตัวที่สำคัญต่อฤทธิ์ทางชีวภาพของชามากที่สุดคือสารในกลุ่มโพลีฟีนอล (polyphenol) ซึ่งมีปริมาณที่แตกต่างกันไปในแต่ละชนิดของชา โดยพบว่าชาเขียวจะมีปริมาณสูงสุด และในบรรดาโพลีฟีนอลทั้งหลายนั้น คาเทชิน มีความสำคัญต่อการแสดงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามากที่สุด โดยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ

เขียนโดย : ผศ. ศุภชัย ติยวรนันท์
จาก : วิชาการ.คอม

รู้จัก "ไข้หวัดนก" ในมุมมองนักวิทยาศาสตร์

ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza) ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ และอาการทางระบบ เช่น มีไข้ รู้จักกันดีมาตั้งแต่อดีตกาลหลายร้อยปีมาแล้ว เพราะการปรับตัว เปลี่ยนแปลงกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในอดีตไม่ สามารถป้องกันได้ จึงเกิดการระบาดได้เป็นครั้งคราว เชื้อไข้หวัดใหญ่ ไม่ได้พบได้เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น ยังพบ ได้ในสัตว์อีกหลายชนิดโดยเฉพาะนกน้ำที่มีการอพยพ และยัง พบว่าไวรัสดังกล่าวสามารถแลกเปลี่ยนส่วนพันธุกรรม (reassort) ระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่ด้วยกัน จนเกิดเป็นสายพันธุ์ ใหม่ได้ เพราะ ฉะนั้นหากเกิดไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่มีความรุนแรงขึ้น ก็อาจเกิดการระบาดที่รุนแรงกว้างขวางขึ้นได้ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ จึง เป็นปัญหาทั่วโลกและเป็นการยากที่จะกวาดล้างให้หมดไป ปัจจุบัน ทำได้เพียงแค่ควบคุมป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น

ไข้หวัดนก เกิดขึ้นได้อย่างไร
สำหรับไข้หวัดนกนั้น พบว่า เกิดการระบาดของไวรัส H5N2 ครั้งแรกเมื่อปี 1991 กับนกน้ำที่อ่าว Delaware ประเทศ สหรัฐอเมริกา ต่อมาในปี 1994 พบการระบาดของไวรัสนี้ในไก่ที่ เม็กซิโก (H5N2) แต่ไม่มีความรุนแรงของโรค แต่หลังจากนั้น 1 ปีได้ เกิดการตายของไก่จากไวรัสนี้ ที่เม็กซิโก ซึ่งจากการศึกษาพบว่า สายพันธุ์ไวรัสที่ทำให้เกิดโรครุนแรง และทำให้สัตว์ที่ติดเชื้อตายนั้น จะไม่แพร่ระบาดอยู่นาน ฉะนั้น แนวทางป้องกันไม่ให้โรค รุนแรงมาก ก็คือ จะต้องควบคุมเชื้อไวรัสนี้ให้หมดไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ไวรัสจะปรับตัวเองจนกลายเป็นโรคประจำถิ่น และสร้าง ปัญหาอย่างใหญ่หลวงในระยะยาว ซึ่งกรณีของเชื้อไข้หวัดนก เป็นตัวอย่างที่ดี เนื่องจากปกติเชื้อไข้หวัดนกจะไม่สามารถ มีผลต่อคนได้ แต่การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ในสัตว์ จนทำให้เกิดอาการกับคนขึ้นมานั้น มีรายงานครั้งแรกในปี 1957 เป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีชื่อว่า Asian flu (H2N2) ส่วนกรณีที่ พิสูจน์ได้ว่ามีคนติดเชื้อไข้หวัดนก (H5N1) จริงนั้น เกิดเมื่อปี 1997 ที่ฮ่องกง ที่มีผู้เสียชีวิต 6 ราย

ทำไมจึงติดต่อจากสัตว์สู่คนได้
มีทฤษฎีหนึ่งอธิบายการกลายพันธุ์ของไข้หวัดนกจนติด สู่คนได้นั้น เกิดจาก "หมู" เพราะพบว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคนหลาย สายพันธุ์ในอดีต มีต้นเหตุมาจากหมู ซึ่งหมูสามารถป่วยเป็น ไข้หวัดใหญ่ของคน และสามารถป่วยเพราะไวรัสไข้หวัดนกได้ ดังนั้น หมูจึงสามารถรับไวรัสไข้หวัดใหญ่นกและของคนเข้าไป พร้อมๆกันและเกิดการติดเชื้อในเวลาเดียวกัน ทำให้อาจเกิดการ แลกเปลี่ยนพันธุกรรมของไข้หวัดใหญ่ ทั้งสองสายพันธุ์ จนเกิดเป็น ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ที่ติดสู่คนได้ในที่สุด

การติดด่อแบบคนสู่คนจะเกิดได้หรือไม่
การข้ามสายพันธุ์จากนกสู่คนนั้น ในระยะแรกจะยังไม่ สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ แต่ถ้าไวรัสมีเวลาอยู่ในร่างกาย คนนานพอ ก็อาจเกิดการปรับตัวให้เข้ากับคนสามารถแพร่เชื้อ ไวรัสจากคนไปสู่คนได้ และอาจทำให้เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกได้ อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การเฝ้าระวังมีความสำคัญ เพราะจะสามารถ ช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดการติดจากคนไปคนได้

รู้ได้อย่างไรว่ากำลังติดเชื้อ
การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ มีระยะฟักตัว 1-3 วัน อาการของโรค ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้น จึงมีอาการพบได้ตั้งแต่ไม่มีอาการของโรค มีอาการน้อย เช่น เป็นหวัด หรือมีอาการมากจนถึงขั้นหลอดลมอักเสบ และปอด อักเสบ โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เจ็บคอ ระคาย คอ หวัด น้ำมูกไหล ไอ จาม คอและตาแดง บางรายพบ มีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต อาการโดยทั่วไป จะเป็นประมาณ 3-5 วัน ในรายที่ป่วยหนัก จะมีอาการทางปอดอย่างรุนแรง เป็นปอดอักเสบ มีอาการไข้สูง ไอ เหนื่อย cyanosis และถึงเสียชีวิต
สำหรับอาการไข้หวัดนกในคน ไม่แตกต่างจากไข้หวัดใหญ่ ทั่วไป แต่อาจเกิดอาการเยื่อตาแดงได้มากกว่า ซึ่งปัจจัยเสี่ยง ที่สำคัญ คือ การสัมผัสหรือใกล้ชิดกับสัตว์ปีก อย่างไรก็ตามมีหลาย รายมีประวัติไม่ชัดเจนกับการคลุกคลีสัมผัสสัตว์ปีก จากการศึกษา เมื่อครั้งระบาดที่ฮ่องกง ด้วยการตรวจแอนติบอดี้ในกลุ่มเสี่ยง (อาศัยในครอบครัวใกล้ชิดผู้ป่วย เกษตรกร เลี้ยงไก่ สุกร และ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ) ตรวจพบผู้มีเชื้อเพียงร้อยละ 1.8 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการติดโดยตรงจากไก่หรือสัตว์ปีกมาสู่คนพบ ได้น้อย และอาการของโรคก็เป็นได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ จนถึงรุนแรง หรือเสียชีวิต การติดเชื้อแบบไม่มีอาการหรืออาการน้อยอาจ ทำให้ไม่ทราบ

รักษาอย่างไร
เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัส การให้ยาปฏิชีวนะจึงไม่เกิดประโยชน์ ยกเว้นมีอาการแทรกซ้อน การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบโรค ทางเดินหายใจทั่วไป และรักษาตามอาการ ป้องกันคอยดูแลรักษา การเกิดภาวะหายใจล้มเหลว โดยเฉพาะในรายที่มีอาการปอดบวม ยาต้านไวรัสที่ใช้ในไข้หวัดใหญ่มี 2 ชนิด คือ
1. Amantadine และ Ramantadine มีคุณสมบัติยับยั้ง การแบ่งตัวของไวรัส ควรให้เร็วภายใน 24-48 ชม หลังจากเริ่ม มีอาการ
2. Oseltamivir และ Zanamivir มีคุณสมบัติขัดขวาง การทำงานของเอนไซม์ neuraminidase ควรให้เร็วภายใน 24-48 ชม. หลังมีอาการ ผลการรักษา อย่างไรก็ตามยาดังกล่าวมีโอกาส ที่ไวรัสจะดื้อยาเกิดขึ้นได้

เขียนโดย : ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
จาก : วิชาการ.คอม